ประเพณีไทย ทิ้งกระจาด


 งานทิ้งกระจาด เป็นพิธีกรรมของพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน มีแนวคิดคล้าย พิธีกงเต้ก เป็นการ เจริญเมตตาธรรมแก่ดวงวิญญาณที่ล่วงลับไปแล้ว โดยนำเอาสิ่งของเครื่องใช้ของผู้ตาย และของใช้อื่นๆ มาแจกจ่ายแก่ผู้ยากจน ตาม ตำนานพระสูตร กล่าวว่า "สมัยหนึ่งพระอานนท์กำลังบำเพ็ญสมาธิ ณ นิโครธาราม เมืองกบิลพัสดุ์ เกิดมีอสุรกาย ตนหนึ่ง สำแดงร่างเป็นเปรต รูปร่างผอมสูง มีแต่หนังหุ้มกระดูก ลำคอเล็กเท่ารูเข็ม เปรตนั้นได้กล่าวแก่พระ อานนท์ว่า อีก 3 วัน พระเถระจะถึงแก่มรณภาพ พระอานนท์จึงถามว่าจะแก้ไขอย่างไร เปรตตอบว่า ต้องทำ พิธีอุทิศเครื่องอุปโภคบริโภค เป็นไทยทานแก่ฝูงเปรตทั้งหลายจึงจะรอดพ้น และพระเถระก็จะมีอายุมั่นขวัญ ยืน พระอานนท์จึงกราบทูลพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ก็โปรดให้ประกอบพิธีเมตตาธรรมตามที่พระอานนท์ กราบทูล พิธีนี้จึงเกิดขึ้นและสืบเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ และเรียกกันว่า งานทิ้งกระจาด งานทิ้งกระจาดของสุพรรณบุรี สันนิษฐานว่าน่าจะมีอายุมากกว่าร้อยปีแล้ว แต่จะจัดติดต่อ กันมาตลอดหรือขาดหายไปในระยะใดบ้างนั้น ยังไม่ทราบแน่ชัด เท่าที่มีหลักฐานปรากฏว่า ในสมัยสงคราม โลกครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2483 - พ.ศ. 2487) งานทิ้งกระจาดมีสืบเนื่องมาทุกปีไม่เคยเว้น

ความสำคัญ
        งานประเพณีทิ้งกระจาดนี้ เป็นงานที่รวมกันของประชาชน ในวันที่จะทำบุญให้ทาน เป็นประเพณีที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนา เป็นการสร้างความเอื้ออาทรกันในหมู่สมาชิกของสังคมส่วนใหญ่ โดยถือว่าการทำบุญให้ทานนี้เป็นเครื่องลดความเห็นแก่ตัวลง

พิธีกรรม

        งานประเพณีทิ้งกระจาดนี้จะเริ่มหลัง วันสารทจีน 3 วัน วันเพ็ญเดือน 7 ตามปฏิทินจีน ประมาณปลายเดือนสิงหาคมหรือต้นเดือนกันยายน ตามปฏิทินไทย อัญเชิญเจ้าพ่อหลักเมืองมาตั้งเป็นประธานในพิธี ซึ่งจะสร้างเป็นโรงกงเต็ก ที่หน้าสมาคมตงฮั้วฮ่วยก้วง และศาลมูลนิธิท่งเอี้ยะเซี่ยงตึ้ง ถนนพันคำ ภายในโรงกงเต็กนี้มีการอัญเชิญเจ้าพ่อหลักเมืองมาสิงสถิตในโรงกงเต็กชั่วคราว ติดกับบริเวณโรงพิธีจะมีร้านปลูกไว้สูง 4-5 เมตร บนร้านมีกระจาดใส่สิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภคนานาชนิดที่ได้มาจากการบริจาคของชาวบ้านร้านตลาด ในวันที่สามของงานจะเป็นวันทิ้งกระจาด ทำเป็น ติ้ว ติดหมายเลขทิ้งลงมาจากร้านสูงนั้น ใครเก็บได้ก็นำไปแลกสิ่งของตามหมายเลขนั้น ๆ
        นอกจากนี้งานประเพณีทิ้งกระจาดยังมีรูปพญายมที่ชาวจีนเรียกว่า ไต้ซื้อ ทำด้วยกระดาษ โครงร่างสานด้วยไม้ไผ่ เขียนด้วยสีน้ำเงิน ขาว และแดง สูงในราว 4-5 เมตร ยืนชี้นิ้วหน้าตาถมึงทึงน่ากลัวมาก บนศีรษะไต้ซื้อมีรูปพระโพธิสัตว์กวนอิมอยู่องค์หนึ่ง คอยดูแลพวกภูติผีปีศาจแย่งชิงสิ่งของกัน หน้าโรงกงเต็กมีงิ้วแต้จิ๋วประชันกัน 2 โรง ในสมัยก่อนเล่นกันหามรุ่งหามค่ำ 24 ชั่วโมงเต็มไม่หยุด 3 วันสามคืน พอบ่ายวันที่สาม งิ้วทั้งสองจะวิ่งมาชิงธงกัน ใครเอาไปปักก่อนเป็นฝ่ายชนะ

ประวัติความเป็นมา

        ประเพณีทิ้งกระจาดของชาวจีน ว่าสืบเนื่องมาจากมีเศรษฐีครอบครัวหนึ่ง มีบุตรชาย ซึ่งต่อมาบวชเป็นพระและสำเร็จเป็นพระอรหันต์ มีนามว่า พระอรหันต์ "มู้เหลี่ยง" (หรือ หมกเลี้ยง)
        บิดาของท่านเป็นผู้ที่ชอบปฏิบัติธรรม มีใจเป็นกุศล ชอบทำบุญทำทาน และเชื่อในเรื่องบาปบุญคุณโทษ แต่ทว่ามารดาของท่านกลับตรงข้าม ไม่ชอบเรื่องเหล่านี้ และไม่เชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ
        ในเวลาต่อมา บิดาของท่านถึงแก่กรรมลง พระมู้เหลี่ยงก็จัดพิธีงานศพ ตลอดจนพิธีกงเต็กให้บิดา โดยท่านนิมนต์พระคณาจารย์จีน ซึ่งเป็นพระสงฆ์ที่ฉันแต่อาหารเจ ในขณะเดียวกัน เทพจี้กง จำพรรษาอยู่ในวัดที่พระมู้เหลี่ยงไปนิมนต์มาในพิธีงานศพของบิดา
        ครั้นก่อนถึงวันที่จะทำ พิธีกงเต็ก คืนนั้นเทพเจ้าจี้กงเตือนให้พระที่ได้รับกิจนิมนต์ว่า ในพิธีกงเต็กที่ได้รับนิมนต์จะพบกับ คนใจดำอำมหิตเป็นมาร จะมากลั่นแกล้งพระที่ได้รับนิมนต์ไปในงานนี้ ให้ระวังให้ดี
        พระที่ได้รับนิมนต์ไปเรียนถามว่า จะมีวิธีป้องกันอย่างไร เทพจี้กง แนะนำว่า สิ่งที่มองไม่เห็น อย่าได้ฉัน ให้ฉันแต่สิ่งที่มองเห็นก็พอ
        ครั้นถึงวันรุ่งขึ้น ซึ่งเป็นวันทำพิธีกงเต็ก มารดาของพระอรหันต์มู้เหลี่ยง ต้องการ แกล้งพระ และต้องการทดสอบ ปฏิปทาของพระไปในตัว เพราะตลอดเวลาตนก็ไม่มีใจศรัทธาอยู่แล้ว จึงสั่งให้คนครัวนำเอาสุนัขที่เลี้ยงไว้ไปฆ่า แล้วนำเนื้อสุนัขมาหมักรวมกับต้นหอม ผักชี และกระเทียม แล้วนำมาทำเป็นไส้ซาลาเปา
        พอถึงเวลาฉันเพล จึงให้คนนำ ซาลาเปาไส้เนื้อสุนัข ที่ทำไว้ออกมาถวายพระ เมื่อพระที่ได้รับนิมนต์เหล่านั้นเห็น ซาลาเปา ทุกรูปก็จำคำเตือนของเทพจี้กง จึงหยิบซาลาเปา แล้วซ่อนไว้โดยไม่ยอมฉัน พอได้เวลาพักผ่อน พระได้ชมบ้าน และสวนดอกไม้ทางหลังบ้านของเศรษฐี
        ในขณะที่ชมสวนอยู่นั้น พระท่านนำเอาซาลาเปาไส้เนื้อสุนัข ที่ซ่อนไว้ออกมาหักดู ก็เห็นไส้ซาลาเปามีเนื้อสัตว์ผสมอยู่ จึงโยนทิ้งลงในบริเวณสวนดอกไม้นั้น
        ทันใดก็เกิดอาเพศ ฝนฟ้าคะนอง และตกลงมาอย่างหนัก
        หลังจากที่พระทำพิธีกงเต็กเสร็จแล้ว มารดาของพระมู้เหลี่ยงจึงถามพระที่ทำพิธีว่า ต้องการฉันอาหารเนื้อสัตว์อะไร (หมู เห็ด เป็ด ไก่) ตนจะได้จัดถวายให้
        พระท่านบอกว่า โยม อาตมาฉันแต่อาหารเจ ไม่ได้ฉันเนื้อสัตว์ มารดาของพระมู้เหลี่ยงได้ยินดังนั้นก็หัวเราะเยาะเย้ยหยัน พร้อมกล่าวว่า ซาลาเปาที่ท่านฉันตอนเพลนั้น มันเป็นไส้เนื้อสุนัข ท่านฉันแล้วไม่รู้หรือว่ามีเนื้อสัตว์ผสมอยู่ ไม่เห็นท่านว่ากล่าวอะไรออกมาเลย
        เมื่อได้ฟังดังนั้นพระก็บอกว่า โยม อาตมาไม่ได้ฉันซาลาเปานั้นเลย ตามอาตมาไปที่สวนหลังบ้านดูสิ
        เมื่อมารดาของพระอรหันต์มู้เหลี่ยงไปถึง ก็เห็น ต้นหอม ต้นผักชี และ ต้นกระเทียม งอกขึ้นมาในสวน เป็นที่แปลกและอัศจรรย์ใจมาก จึงเกิดความรู้สึกว่าสิ่งที่ตนทำลงไปนั้นเป็น บาปอันมหันต์ และด้วยเหตุนี้เอง เมื่อถึง เทศกาลกินเจเดือนเก้า ชาวจีนนอกจากจะไม่รับประทานเนื้อสัตว์แล้ว ยังไม่รับประทานผัก ๓ ชนิดนี้ด้วย
        ต่อมามารดาของพระมู้เหลี่ยงถึงแก่กรรม ขณะเดียวกัน พระลูกชายก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ มีอยู่ครั้งหนึ่ง พระอรหันต์มู้เหลี่ยง ลงไปท่องเที่ยวยังเมืองนรก ได้พบกับวิญญาณของมารดา ซึ่งถูกล่ามโซ่ตรวนไว้ และกำลังจะถูกนำไปเกิดใหม่
        พระอรหันต์มู้เหลี่ยง ได้ถาม ท้าวเวสสุวรรณ ว่า จะนำวิญญาณดวงนี้ไปไหน ? ท้าวเวสสุวรรณ ตอบว่า จะนำไปเกิดเป็น สุนัข เพราะตอนมีชีวิตอยู่ทำบาปไว้มาก เคยสั่งให้คนฆ่าสุนัข แล้วนำมาทำเป็นอาหารเลี้ยงพระ
        พระอรหันต์มู้เหลี่ยงมีความกตัญญูต่อมารดามาก คิดที่จะช่วยมารดา จึงกล่าวขอท้าวเวสสุวรณไว้ ท้าวเวสสุวรรณก็ไม่ยอม เพราะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตาม กฎแห่งกรรม ในเรื่องบาปบุญคุณโทษ ทำให้เกิดการประลองฝีมือกันขึ้น ระหว่างพระอรหันต์มู้เหลี่ยงกับท้าวเวสสุวรรณ
        ความได้ทราบถึงพระพุทธเจ้า พระองค์เสด็จลงมายังเมืองนรก และตรัสห้ามพระอรหันต์มู้เหลี่ยงว่า อย่ากระทำเช่นนั้นเลย ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเป็นไปตาม กฎแห่งกรรม
        พระอรหันต์มู้เหลี่ยงตรัสพ้อว่า ตนบวชเป็นพระจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว แต่ไม่สามารถที่จะช่วยปลดปล่อยดวงวิญญาณของมารดาได้ รู้สึกบั่นทอนจิตใจเหลือเกิน
        พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า ท่านสามารถที่จะช่วยปลดปล่อยทุกดวงวิญญาณในขุมนรกนี้ทั้งหมดไหม ?
        พระอรหันต์มู้เหลี่ยงตอบว่า ได้ แล้วจึงได้กำหนด พิธีทิ้งกระจาด ขึ้น เพื่อที่จะช่วยดวงวิญญาณในขุมนรกนั้น โดยในพิธีนี้จัดให้มีการสวดพระคาถา และบริจาคสิ่งของต่างๆ ที่ต้องใช้ เช่น หับ เสื้อผ้า ภูเขาเงิน ภูเขาทอง เป็นต้น โดยกำหนดให้เริ่มพิธีตั้งแต่ วันที่ 1 เดือน 7 ถึงวันที่ 30เดือน 7 ของจีน (ชิกหง้วย) เป็นระยะเวลา 1 เดือน เพื่อให้ดวงวิญญาณที่อยู่ในนรกออกมารับกุศลผลบุญต่างๆ และเป็นอานิสงส์ส่งไปเกิดในภพต่อไป
        ชาวจีนจึงถือปฏิบัติเป็น ประเพณีงานทิ้งกระจาด ตามสถานปฏิบัติธรรม (โรงเจ) และมูลนิธิต่างๆ รวมทั้งในเมืองไทย เพราะถือเป็นการทำบุญที่ได้อานิสงส์สูงส่ง รวมทั้งเป็นการแสดงออกถึงความกตัญญูต่อบรรพชนอีกด้วย

ประเพณีนี้ยังเกี่ยวข้องกับ
ประเพณีไทยชิงเปรต
ประเพณีไทย การชิงเปรต


เรียบเรียงใหม่โดย http://ที่นี่ประเพณีไทย.blogspot.com
อ้างอิงข้อมูลจาก panyathai.or.th/wiki

ให้คะแนนกับบทความนี้:
{[['']]}