ประวัติกีฬาเรือยาวประเพณีไทย




ประวัติความเป็นมาเรือยาวมรดกวัฒนธรรมแห่งสายน้ำ
1.สายน้ำ กับชีวิต คนไทย 
  มีวิถีชีวิตที่ผูกพันอยู่กับ สายน้ำ และธรรมชาติการสร้างบ้านสร้างเมือง สร้างชุมชน แต่โบราณกาล จะเลือกทำเลที่มีแม่น้ำลำคลอง และแหล่งน้ำเป็นสำคัญ เพื่อใช้ในการอุปโภคบริโภค และการเกษตรกรรมยังชีพแห่งชีวิต และชุมชน สายน้ำ จึงเปรียบเสมือน สายโลหิตของชีวิตคนไทยมาแต่อดีตจวบจนปัจจุบันยันอนาคต เพราะน้ำคือชีวิต น้ำยังนำมาซึ่ง คติธรรม ในการดำเนินชีวิตของชาวไทยให้เข้าใจถึงสัจธรรมในธรรมชาติของชีวิต กล่าวคือ
  1. น้ำ มีลักษณะ ชุ่มเย็น เปรียบเหมือน ความเมตตา คือ ความรัก ความปรารถนาดีซึ่งกันและกัน ตรงข้ามกับความเร่าร้อน อันหมายถึง ความโกรธ หรือโทสะ เปรียบเหมือน ไฟเผาจิตใจให้ร้อนลน
  2. น้ำ มีลักษณะ รวมตัวกันเป็นนิจ เปรียบเหมือนมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ต้องรู้รักสามัคคีมีกัลยาณมิตตตา “รวมกันเราอยู่ แยกหมู่เราตาย รวมกันแล้วไม่ทำอะไร ก็ไปตายเสียดีกว่าอยู่”
  3. น้ำ มีลักษณะ ปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ดี หมายถึง สมานัตตา คือ บุคคลพึงวางตนเสมอต้นเสมอปลายได้ถูกต้อง โบราณาจารย์ กล่าวไว้ว่า นอนสูงให้นอนคว่ำ นอนต่ำให้นอนหงาย
  4. น้ำ มีลักษณะ เที่ยงตรง แม้แต่ช่างสร้างบ้านยังอาศัยน้ำเป็นระดับวัดความตรงของส่วนประกอบต่างๆ เปรียบเหมือนการดำเนินชีวิตให้ถูกต้องดีงามต้องมี สัจจะ คือ ความจริง ตรงแท้ ในภารกิจหน้าที่นั้นเอง หน้านอก บอกความงาม หน้าใน บอกความดี หน้าที่ บอกความรับผิดชอบ
2.เรือ กับ วิถีชีวิตไทย
  แม่น้ำลำคลองเป็นเส้นทางสำคัญในการสัญจรติดต่อไปมาค้าขายซึ่งกันและกันมาแต่บรรพกาล เรือจึงเป็นพาหนะสำคัญในวิถีชีวิตของชาวไทยที่เกิดจากภูมิปัญญาของบรรพชนแต่บรรพกาลประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อใช้ในการสัญจรระหว่างบ้านและชุมชน เรือเป็นพาหนะที่มีบทบาทสำคัญแต่อดีตจวบจนปัจจุบันทั้งในวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ การคมนาคมขนส่ง ตลอดจนก่อให้เกิดวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามแห่งสายน้ำของสยามประเทศ
3.บุญแข่งเรือ 
  ด้วยความศรัทธาในพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติเป็นพื้นฐานของศิลปวัฒนธรรม และวิถีชีวิตอันดีงามของชาวไทย ในฤดูน้ำหลาก ว่างเว้นจากการเพาะปลูก ปักดำทำนา ในเทศกาลงานบุญประเพณีออกพรรษา ด้วยนิสัยรักสนุกอันเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติไทย ก่อให้เกิดการละเล่นทางน้ำ อาทิ การเล่นเพลงเรือ และการแข่งขันเรือยาวประเพณีขึ้น อันเป็นกีฬาชาวบ้านในชุมชนชนบทไทย ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาชาติขึ้นทุกลุ่มน้ำแห่งสยามประเทศ ความล้มเหลวในการพัฒนาชนบทไทยนำมาซึ่งปัญหาสังคมนานับประการในสังคมเมือง
4.จากขุนเขา 
  สู่สายน้ำ สยามประเทศ เรือยาว เป็นเรือที่ขุดจากไม้ต้นเดียวตลอดทั้งลำ มีลักษณะรูปท้องขัน (แบน) และท้องรูปกะทะ ไม้ที่นำมาขุดเรือยาว หรือเรือแข่งได้แก่ ไม้ตะเคียน ไม้สำโรง ไม้มะหาด เป็นต้น แต่ส่วนใหญ่นิยมเรือขุดจากไม้ตะเคียน ต้นตะเคียนเป็นต้นไม้ที่มีกำหนดจากขุนเขาในเขตป่าดิบชื้น และป่าเต็งรังทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขึ้นได้ดีบนที่ราบ หรือค่อนข้างราบใกล้ริมน้ำ ไม้ตะเคียนแต่โบราณนิยมนำมาขุดเรือยาว เนื่องจากเป็นไม้เนื้อแข็ง มีเนื้อเหนียว ลอยน้ำ และพุ่งน้ำได้ดี มีน้ำหนักพอประมาณ แช่น้ำได้นาน ไม่ผุง่าย แต่โบราณเชื่อกันว่ามี นางไม้ หรือนางตะเคียนสิงอยู่ เมื่อนำมาขุดเป็นเรือยาวก็จะเชิญนางไม้เป็นแม่ย่านางเรือ เชื่อกันว่าจะนำชัยชนะและความสำเร็จมาให้
5.ประเภทของไม้ตะเคียน 
  จำแนกได้ 4 ประเภท คือ 1.ไม้ตะเคียนทอง 2.ไม้ตะเคียนหิน 3.ไม้ตะเคียนหนู 4.ไม้ตะเคียนหยวก ส่วนใหญ่นิยมใช้ “ไม้ตะเคียนทอง” ขุดเรือ เพราะนางไม้มีวิญญาณที่แกร่งกล้า (เฮี้ยนมาก) และเนื้อไม้ออกสีเหลือง เมื่อขุดเป็นเรือเสร็จ สีผิวไม้ของตัวเรือจะดูสวยงาม
6.ลักษณะของไม้ตะเคียนที่ดี 
  เป็นไม้ตรง ไม่มีปุ่ม ไส้ไม่กลวง พึงสังเกตลักษณะของใบเขียวเป็นมัน ขอบใบไม่ไหม้เกรียม ใบไม่เหลือง ผิวเปลือกอิ่มเป็นมัน ไม่แตกระแหงเป็นสะเก็ด โคนต้นไม่มีเห็ดราขึ้น ไม่มีแมลงบินเข้าออกจากลำต้น หรือมีปลวกขึ้นต้น จึงเป็น “ไม้ที่มีลักษณะงามตามตำราขุดเรือ” มีขนาดและความยาวเหมาะสม ควรคำนึงถึงการโค่นด้วยว่าสามารถโค่นได้หรือไม่ ทิศทางในการล้มของไม้ ถ้าล้มฟาดระหว่างขอบห้วย หรือลานหินไม้อาจหัก หรือไส้ไม้ช้ำน่วมเสียหายได้
7.ภูมิปัญญาในการคำนวณความสูงของต้นตะเคียน
  เมื่อพบต้นตะเคียนที่มีลักษณะถูกต้องตามตำราแล้ว จะอาศัยภูมิปัญญาชาวบ้านในการคำนวณความสูง (ยาว) ของต้นไม้ โดยอาศัย หลักตรีโกณมิติคณิตศาสตร์ ด้วยการยืนหันหลังให้ต้นตะเคียน แล้วก้มลงมองลอดหว่างขา ศีรษะก้มอยู่ระดับเข่า ถ้ามองเห็นยอดตะเคียนพอดีก็วัดจากจุดยืนถึงโคนต้นจะได้ความสูงของต้นตะเคียนพอดี บางครั้งใช้การปีนขึ้นต้นไม้แล้วใช้เชือกวัด หรือใช้เชือกผูกติดหน้าไม้ยิงไปที่ส่วนปลายยอดไม้แล้วจึงวัดคำนวณความยาว หรือใช้วิธีการปล่อยลูกโป่งอัดลมลายถึงกิ่งยอดตะเคียนแล้วจึงดึงลงมาวัดหาความยาวของต้นไม้
8.ขนาด และความยาว (สูง) ของไม้ตะเคียน 
  ไม้ตะเคียนที่ดีควรมีขนาดของลำต้นวัดส่วนโคนขนาดประมาณ 3.5 เมตร วัดรอบปลายลำต้นขนาดประมาณ 2.5 เมตร เป็นขนาดที่เหมาะที่สุดในการขุดเรือ และมีสัดส่วนของความยาว (สูง) ดังนี้ เรือยาวใหญ่ จะต้องมีความยาวประมาณ 13-15 วา เรือยาวกลาง จะต้องมีความยาวประมาณ 11-12 วา เรือยาวเล็ก จะต้องมีความยาวประมาณ 10 วา เรือยาวจิ๋ว จะต้องมีความยาวประมาณ 7 วา หมายเหตุ เรือจิ๋ว (12 ฝีพาย) นิยมใช้ไม้งิ้วขุดเพราะมีน้ำหนักเนื้อเบากว่า
9.การโค่นต้นตะเคียน

  ต้นตะเคียนเชื่อกันว่ามีนางไม้ หรือนางตะเคียนสิงอยู่ ก่อนโค่นต้องตั้งศาลเพียงตา 2 ศาล พร้อมเครื่องสังเวย อาทิ หัวหมู ไก่ ไข่ต้ม ขนมต้มแดง-ขาว เหล้าขาว หมากพลู-บุหรี่ บายศรี 2 ที่ เพื่อขอขมาบอกกล่าวเจ้าป่าเจ้าเขา ขออนุญาตทำการตัดโค่นต้นไม้ในป่า ซึ่งนิยมเซ่นไหว้ได้แต่เช้าจรดเย็นยกเว้นวันพระ ศาลที่ 2 บอกกล่าวนางตะเคียนโดยงดเว้นเหล้า-บุหรี่ ควรเพิ่มเครื่องตกแต่งผู้หญิง อาทิ หวี แป้ง ผ้าแพร น้ำอบน้ำหอม เป็นต้น ไม่ควรเซ่นไหว้เกินเที่ยงวัน เมื่อพลีกรรมแล้วจึงทำการตัดโค่นโดยผู้เชี่ยวชาญ สมัยโบราณใช้เลื่อยมือแรงงานคนในการโค่นและช้างชักลากไม้ ปัจจุบันใช้เครื่องทุ่นแรง คือ เลื่อยยนต์ทำให้ตัดไม้รวดเร็ว แล้วใช้รถยนต์ชักลากสู่สถานที่ขุด คือวัดได้อย่างรวดเร็วขึ้นกว่าเดิม ต้นตะเคียนที่นำมาขุดเรือต้องเป็นไม้ที่ไม่ได้ตีตราไม้ตามระเบียบราชการเชื่อว่าไม้ต้นใดตีตราแล้วแม่ย่านางจะไม่อยู่
10.ภูมิปัญญาไทยในการขุดเรือยาว 
  การขุดเรือ ช่างขุดเรือซึ่งเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านไทยจะพิจารณาดูไม้ว่าจะเอาส่วนไหนทำ หัวเรือ หางเรือ และท้องเรือ ซึ่งช่างขุดเรือส่วนใหญ่จะนิยมใช้โคนต้นไม้เป็นหัวเรือ ใช้ปลายไม้เป็นท้ายเรือ รูปทรงเรือหัวโตท้ายเรียวคล้ายปลาช่อน เพราะเชื่อว่าจะเปิดน้ำได้ดีทำให้เรือวิ่ง แต่บางช่างนิยมใช้ปลายไม้ทำหัว โคนไม้ทำท้าย เรือลักษณะนี้หัวเรียวท้ายโต ก่อนขุดจะตั้งศาลเพียงตาอัญเชิญนางไม้ขึ้นศาลฯ เมื่อขุดเรียบร้อยแล้วจะเชิญขึ้นเป็นแม่ย่านางประจำเรือ โดยมีขั้นตอนการขุดเรือดังนี้
  • ขั้นตอนที่ 1.การขุดโกลนเรือ ช่างจะเปิดปีกไม้เป็นรูปสี่เหลี่ยมแล้วจะตีเส้นหาศูนย์กลางแบ่งไม้เป็นสองซีกเท่า ๆ กัน พร้อมตีกรอบด้านข้าง ๆ ละ 2 เส้น เรียกว่า เส้นมาด แล้วจึงขุดเอาเนื้อไม้ออกตามแนวเส้นมาดตลอดลำ ด้วยขวานโยนและเลื่อยยนต์ให้มีลักษณะเป็นร่อง หรือรางเหมือนรางใส่อาหารหมู กว้างประมาณ 60 ซม. แล้วจึงเริ่มปอกเปลือกไม้เหลาตัวเรือด้านนอกให้ได้รูปทรงเรือตลอดลำ แล้วจึงเริ่มสางในตัวเรือให้มีความหนาเท่ากัน พร้อมวางรูปกระดูกงู เป็นรูปหน้าตัดสี่เหลี่ยมผืนผ้าอยู่ที่ท้องเรือส่วนกลางด้านในไปตามแนวหัวท้ายของความยาวตั้งแต่กระทงที่ 3 ไปถึงสุดราวชับ (แอน) ทำหน้าที่คล้ายกระดูกสันหลังของเรือตามขนาดที่ต้องการ
  • ขั้นตอนที่ 2. การเบิกเรือ เบิกเรือ คือ การถ่างเรือที่ทำเป็นรูปร่างแล้วให้ผายออกโดยวิธีสุมไฟให้ร้อน เมื่อได้รูปทรงเรือทั้งด้านในด้านนอกตามที่ต้องการแล้วก็พลิกคว่ำลงเพื่อลนไฟ หรือย่างไฟ โดยใช้ขี้เลื่อยเปลือกไม้เป็นเชื้อเพลิงให้ความร้อนเท่า ๆ กัน ใช้เวลาไฟแรกประมาณ 12 ชั่วโมง เมื่อเนื้อไม้เหลืองได้ที่ดีแล้วก็หงายเรือขึ้นเพื่อเบิก หรือทำการถ่างเรือให้มีความกว้างตามรูปแบบที่ต้องการด้วย ไม้ปากกา (ลักษณะคล้ายกรรไกร) งัดมาดเรือ (แคมเรือ) ทั้ง 2 ข้างดีดออกตลอดลำ (บางแห่งใช้ แม่แรงช่วยค้ำยันในการถ่างเรือ) แล้วใช้ไม้ค้ำยันกันไว้ไม่ให้หุบเข้ามาอีก ทิ้งไว้จนไม้เย็นลง จึงใช้ละแมะถากสางใน และคว่ำไสนอกจนมีความหนาเป็นที่พอใจได้รูปทรงที่เรียบร้อย จึงคว่ำลงย่างไฟเพื่อเบิกเรืออีกประมาณ 4-5 ไฟ แล้วแต่สภาพเนื้อ และขนาดของไม้เล็กหรือใหญ่ จึงจะได้ความกว้างของตัวเรือที่เพียงพอตามสูตรขุดเรือของแต่ละช่วงจึงถึงขั้นวางกงเป็นขั้นตอนต่อไป
  • ขั้นตอนที่ 3. การวางกงเรือ (โครงเรือ) กง เป็นชิ้นไม้ตัดแต่งให้โค้งเข้ากับรูปท้องเรือด้านใน ช่วยเพิ่มความแข็งแรง และได้รูปทรงเรือที่ต้องการ นิยมใช้ไม้ประดู่ ไม้สัก หรือไม้ตะเคียน ทำกงเรือขนาดหนาประมาณ 2-2.5 นิ้ว กว้างประมาณ 3 นิ้ว โดยทำการติดกงตัวแรก เรียกว่า กงครู หรือ กงเอก คร่อมทับกระดูกงู ใช้สว่านเจาะกงทะลุตัวเรือแล้วตอกยึดด้วยลูกประสัก ซึ่งนิยมทำจากไม้แสมสารยึดติดกับเนื้อเรือ แล้วจึงเริ่มวางกงเรือตัวที่ 2 สลับกันคนละตัวจากทางหัวและท้ายของตัวเรือ ระยะห่างของกงตามสูตรของแต่ละช่างแตกต่างกันไป โดยเรือใหญ่วางกงประมาณ 30-32 ตัว เรือยาวกลางวางกง 26-28 ตัว เรือเล็กวางกงประมาณ 23 ตัว ลดลงไปตามขนาดของเรือแต่ละประเภท จึงเริ่มวางกระทงเรือ เรือภาคใต้ (หางแมลงป่อง) นิยมวางกงลิง (มือลิง) เป็นกงหลอก เพื่อใช้เป็นที่ยันหรือถีบเท้าเวลาออกแรงพายเรือ ส่วนภาคอีสานแถบลุ่มน้ำโขง ตัวเรือหนาขนาดซองบุหรี่ จึงไม่นิยมวางกงเรือ หากเป็นไม้ขนาดต้นเล็ก ความสูงของตัวเรือจะไม่พอ จึงนิยมเสริมมาดช่วย
  • ขั้นตอนที่ 4. การวางกระทงเรือ กระทง หรือ ที่สำหรับนั่งพาย นิยมใช้ไม้สักกว้างประมาณ 6 นิ้ว หนา 1 นิ้ว ยาวเท่ากับความกว้างของตัวเรือ ตามกงเรือแต่ละกงที่วางไว้แล้ว โดยวางไม้กระทงบนหัวกง แล้วเจาะตอกยึดกระทงกับกงและตัวเรือด้วยลูกประสักตลอดลำ มีกระทงเดียวนั่งเดี่ยวทางด้านหัวเรือ 3-4 กระทง ท้ายเรือ 5-6 กระทง ส่วนกลางลำเรือจะเป็นกระทงนั่งคู่และกระทงผี (ภาคใต้เรียก แอนผี) คือกระทงหน้าสุดสำหรับวางเครื่องเซ่นไหว้สังเวยต่าง ๆ แล้วจึงติดไม้แอนหรือไม้แอบ ซึ่งเป็นไม้เนื้อแข็ง กว้าง 2 นิ้ว หนา 3 นิ้ว ยาวขนาดพอ ๆ กับกระดูกงู ขันด้วยน็อต ติดใต้กระทงเรือตลอดลำเรือกับกระดูกงู เพื่อใช้ในการตั้งหรือตอกตอหม้อ (ต้ำต้อ) คือ ไม้ขนาด 1.5 นิ้ว ใช้ค้ำยันบนกระดูกงูกับราวชับ (ไม้แอน) แต่โบราณทางภาคเหนือ ภาคกลาง นิยมใช้ไม้ไผ่ป่า สาวหวายขันชะเนามัดกลางลำเรือ บนและใต้ที่นั่ง เพื่อทำให้เรือแข็งแรง ปัจจุบันใช้ไม้แอนแทน หรือเรียกว่าราวชับ
  • ขั้นตอนที่ 5. การติดกราบเรือ เมื่อช่างเหลาและขัดตัวเรือ ทั้งด้านในและด้านนอก ให้ผิวตัวเรือเรียบร้อยดีแล้ว ก็จะหงายตัวเรือขึ้น เพื่อติดกราบเรือ โดยใช้ไม้ตะเคียน กว้างประมาณ 6 นิ้ว หนา 1.5 นิ้ว ยาวตลอดแนวกระทงเรือตลอดลำ ติดสองข้างบนกระทงเรือ เพื่อช่วยให้ส่วนบนของตัวเรือแข็งแรงเพิ่มขึ้น และกันน้ำเข้าเรือเวลาพายเรือ หรือจ้ำเรือขณะแข่งขัน รวมทั้งเจาะติดตะขอห่วงเหล็กบริเวณตัวเรือทั้ง 2 ข้าง เพื่อให้หวายหรือลวดสลิง ร้อยดึงสำหรับขัดหวายหรือสลิง ช่วยเพิ่มความแข็งแรงหรือไมิให้ตัวเรือแบะออกจนเสียรูปทรงหรือสัดส่วนที่ต้องการได้ทุกกระทงเรือ และเป็นส่วนสำคัญประกอบการตั้งเรือให้วิ่งหรือไม่วิ่ง คู่กับการตั้งตอม่อเรือ
  • ขั้นตอนที่ 6. การติดโขนเรือ โขนเรือ นิยมใช้ไม้มงคล อาทิ ไม้ขนุนหรือไม้สักหรือไม้กระท้อนหรือไม้เนี่ยง ยาวประมาณ 3 เมตร ต้องอาศัยช่างที่มีฝีมือจริง ๆ เพราะต้องเข้ารอยต่อระหว่างโขนเรือกับหัวเรือ (หน้าว่าว) ให้ต่อกันสนิท มีโขนหัวกับโขนท้าย ที่สำคัญนิยมทำโขนแบบถอดได้ (แต่เดิมเรือในภาคเหนือ กลาง อีสาน นิยมโขนต่อในตัว ภาคใต้นิยมโขนถอด) เพราะสะดวกในการเคลื่อนย้ายเรือโดยนิยมขุดทำโขนกลวงเพื่อให้เบา บางแห่งใช้โขนเป็นโครงไม้นิ้วตีปิดด้วยไม้จริง ทำให้โขนเบามากขึ้น เมื่อทุกอย่างเสร็จก็ขัดแต่งตัวเรือด้วยกระดาษทรายให้เรียบร้อยลงชันเรือแล้วจึงทาน้ำมันด้านนอก ด้านในตัวเรือ ชโลมด้วยชันและน้ำมันยางด้านในตัวเรือ หรือบางลำอาจจะเขียนลวดลายให้สวยงามติดตามเรือตามความนิยมของท้องถิ่น จึงเป็นอันเสร็จกระบวนการขุดเรือพร้อมที่จะลงน้ำได้โดยต้องประกอบพิธีในขั้นตอนต่อมา
  • ขั้นตอนที่ 7. การตั้งชื่อเรือ มีคติความเชื่อหลายหลายวิธีที่เป็นพื้นฐานในการตั้งชื่อเรือแล้วแต่ความนิยมหรือความเชื่อของเจ้าของเรือแต่ละลำยึดถือ แต่โบราณนิยมเชิญแม่ย่านางประทับทรงเพื่อขอให้ตั้งชื่อให้ รวมทั้งถามถึงอาหาร เครื่องแต่งกาย และสีเสื้อ-ผ้าแพรประดับ โขนเรือให้ถูกโฉลกกับแม่ย่านางเพื่อเป็นมงคลแก่ทีมเรือให้ประสบชัยชนะในการแข่งขัน ส่วนใหญ่นิยมตั้งชื่อว่าเจ้าแม่ กับ เทพ นำหน้า โดยมีมูลเหตุของที่มาของชื่อเรือ พอประมวลสรุปได้ดังนี้ เหตุที่เรียกว่า เจ้าแม่ เพราะเชื่อว่าแม่ย่านางเรือเป็นผู้หญิง ส่วนที่เรียกว่า เทพ นั้น เพราะถือกันว่านางไม้หรือนางตะเคียนเป็นเทวดาประเภทหนึ่งหรือรุขเทวดาประจำต้นไม้นั้นเอง
    • 1.ตั้งชื่อเป็นมงคลนามตามท้องถิ่นที่พบต้นไม้ อาทิ เรือเทพธนูทอง พิษณุโลก เพราะไม้จากเขาธนูทอง นครไทย เรือเพชรร่มเกล้า จ.พิจิตร ไม้จากเขาบ้านร่มเกล้า จ.พิษณุโลก เรือคำบอนสายฝน จ.กาฬสินธุ์ บริเวณที่พบไม้อยู่กลางป่าบอนเวลาโค่นเกิดฝนตก เป็นต้น
    • 2.ตั้งชื่อเป็นมงคลนามตามลำน้ำที่เกี่ยวข้องกับเรือ อาทิ เรือเจ้าแม่ตาปี จ.สุราษฎร์ธานี แม่ย่านางชื่อตาปีมาเข้าฝันประกอบกับวัดที่ขุดเรืออยู่ริแม่น้ำตาปีจึงใช้ชื่อเป็นมงคลนามว่า เจ้าแม่ตาปี, เรือขุนน่าน จ.น่าน ต้นกำเนิดแม่น้ำน่าน, เรือเจ้าแม่หลังสวน จ.ชุมพร มีแม่น้ำหลังสวนเป็นสายโลหิต, เรือน่านนที จ.พิจิตร มีแม่น้ำน่านไหลผ่านหน้าวัดท่าฬ่อ เป็นต้น
    • 3.ตั้งชื่อเป็นมงคลนามตามจังหวัดที่เรือสังกัดอยู่ เช่น เรือศรีอยุธยา, เรือศรีอโยธยา จ.พระนครศรีอยุธยา, เรือเทพปทุม วัดโบสถ์ จ.ปทุมธานี, เรือเทพพิษณุ วัดใหญ่ จ.พิษณุโลก, เรือศรีอ่างทอง จ.อ่างทอง, เรือศรีสุราษฎร์ จ.สุราษฎร์ธานี, เรือคนสวยโพธาราม อ.โพธาราม จ.ราชบุรี, เรือศรีวัดโบสถ์ วัดโบสถ์ จ.พิษณุโลก, เรือหงส์สุพรรณ เรือเพชรสุวรรณ จ.สุพรรณบุรี เป็นต้น
    • 4.ตั้งชื่อเป็นมงคลนามตามตัวละครสำคัญในวรรณคดีไทย เช่น เรือไกรทอง วัดหัวดง จ.พิจิตร, เรือจหมื่นไวย์ เรือวันทอง เรือพลายแก้ว วัดตะเคียนเลื่อน จ.นครสวรรค์ เรือขุนช้าง สุพรรณบุรี เป็นต้น
    • 5.ตั้งชื่อเป็นมงคลนามตามนามของวัด หรือหมู่บ้านที่ขุดเรือ หรือสังกัดอยู่ อาทิ เรือศรสุวรรณ วัดสุวรรณราชหงส์ อ่างทอง, เรือหงส์อาษา วัดหาดอาสา จ.ชัยนาท, เรือหงส์นคร เรือหงส์ทอง วัดเกาะหงส์ จ.นครสวรรค์, เรือศรีจุฬามณี วัดจุฬามณี อยุธยา, เรือหงส์ชัยสิทธิ์ วัดสวนหงส์ สุพรรณบุรี
    • 6.ตั้งชื่อเป็นมงคลนามตามชื่อบุคคลสำคัญที่เคารพนับถือ เช่น เรือศรีสุริโยทัย วัดจุฬามณี อยุธยา, เรือเทพจักรี วัดสว่างมนัส อ.หลังสวน จ.ชุมพร, เรือพรพระเทพ วัดบางทราย จ.พิษณุโลก, เรือเทพนรสิงห์ จ.สระบุรี เป็นต้น
    • 7.ตั้งชื่อเป็นมงคลนามตามนาม หรือชื่อและสกุลเจ้าของ หรือผู้อุปถัมภ์เรือ เช่น เรือขุนเพ่ง จ.พิจิตร เจ้าของเรือคือ กำนันเพ่ง ขวัญอันอินทร์, เรือขุนโจ้ จ.พิษณุโลก เจ้าของเรือคือ อาจารย์ขวัญทอง สอนศิริ หรือ (อ.โจ้), เรือขุนจอด จ.พิจิตร เจ้าของเรือชื่อจอด (สจ.ปรีชา ชูกร), เรือสุขสวัสดิ์ จ.สิงห์บุรี โดยสกุลสุขสวัสดิ์อุปถัมภ์เรือ, เรือคำประกอบ จ.นครสวรรค์โดยคุณสวัสดิ์ คำประกอบ, เรือชัยนาจ ของสจ.อำนาจ นพขำ จ.ปทุมธานี เป็นต้น
    • 8.ตั้งชื่อเป็นมงคลนามตามหน่วยงานที่ฝีพายสังกัดอยู่ เพื่อประชาสัมพันธ์หน่วยงาน เช่น เรือตระเวณสายชล กก.ตชด.31 จ.พิษณุโลก, เรือบันเทิงทัพนาวา ทภ.3 จ.พิษณุโลก, เรือเจ้าแม่ประดู่ทอง เรือยุทธการนาวา เรือยุทธการนาวี เรือราชนาวี เรือเจ้าแม่ประดู่เงิน ในสังกัดกองทัพเรือ, เรือค่ายจุฬาภรณ์ใช้ฝีพายนาวิกโยธิน ค่ายจุฬาภรณ์ จ.นราธิวาส, เรือสาวน้อยเกียรติวงศ์ ฝีพาย ตชด.41 ค่ายเกียรติวงศ์ จ.ชุมพร, เรืออัครโยธิน ของกรมสื่อสารทหารบก ค่ายกำแพงเพชรอัครโยธิน เป็นต้น
    • 9.ตั้งชื่อเป็นมงคลนามตามตาม สปอนเซอร์ที่อุปถัมภ์เรือ เช่น เรือเบียร์สิงห์ จ.สระบุรี (เบียร์สิงห์สนับสนุน), เรือเป็บซี่ จ.นครสวรรค์ (บ.เสริมสุข ส่งเข้าแข่งขัน), เรือกระทิงแดง จ.ปทุมธานี (กระทิงแดงสนับสนุน), เรือแม่ทองหล่อ (บ.แม่ทองหล่อสนับสนุน), เรือนำสุราษฎร์ (บ.นำสุราษฎร์ เทรดดิ้ง สนับสนุน)
    • 10.ตั้งชื่อเป็นมงคลนามตามบุพการีของผู้เป็นเจ้าของเรือเพื่อบูชาคุณ เช่น เรือสาวดวงแก้ว อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี นำเอามงคลนามของคุณแม่ดวงแก้ว สุขสวัสดิ์ มาตั้งชื่อเรือ เป็นต้น
    • 11.ตั้งชื่อให้เป็นเดช อำนาจ เป็นที่หวั่นเกรงของคู่แข่งขัน อาทิ เรือเดชสมิง วัดแหลมทราย จ.ชุมพร, เรือสมิงสาว วัดบัวหลวง จ.ปทุมธานี, เรือสมิงรามัญ จ.ปทุมธานี, เรือขุนปราบ จ.ปทุมธานี, เรือพญาอินทร์ จ.พิษณุโลก เป็นต้น
    • 12.ตั้งชื่อเป็นมงคลนามตามนามของสัตว์ในวรรณคดีไทย อาทิ เรือพญาราชสีห์ วัดหาดมูลกระบือ จ.พิจิตร, เรือราชสีห์ทอง เรือราชสีห์เพชร วัดบางมะฝ่อ จ.นครสวรรค์, เรือช้างแก้ว เรือม้าแก้ว วัดโบสถ์ จ.อ่างทอง, เรือพญานาคราช วัดบางมูลนาค จ.พิจิตร เป็นต้น
    • 13.ตั้งชื่อเป็นมงคลนามตามนิมิต หรือเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นขณะขุดเรือ อาทิ เรือนกกาเหว่าแว่ว จ.นครสวรรค์ เนื่องจากตามเสียงนกกาเหว่าไปจนพบต้นไม้ต้นนี้ จึงนำมาขุดเป็นเรือยาว, เรือเจ้าแม่ตะเคียนทอง จ.พิษณุโลก เนื่องจากนางตะเคียนเข้าฝันขณะขุดเรือ, เรือศรีรัตนโกสินทร์ จ.อ่างทอง สร้างในโอกาสฉลอง 200 ปี กรุงรัตนโกสินทร์ พ.ศ.2525
    • 14.ตั้งชื่อเป็นมงคลนามตามเนื้อความที่พระเกจิอาจารย์ตั้งให้เป็นมงคลนาม เช่น เทพส่องแสง วัดเจดีย์หอย จ.ปทุมธานี, เรือเทวฤิทธิ์ วัดบางพระ จ.นครปฐม เป็นต้น
11.พิธีนำเรือลงน้ำ
  เมื่อขุดเรือเสร็จ ตั้งชื่อเรือเรียบร้อย ก็จะถึงขั้นตอนที่จะนำเรือลงน้ำ ก็จะต้องทำพิธีกรรมสำคัญอีกครั้ง โดยการตั้งศาลเพียงตาบวงสรวงเชิญแม่ย่านางลงเรือ โขนเรือก็จะตกแต่งด้วยผ้าแพรสีสันสวยงาม พิธีเบิกเนตร (ตาเรือ) บางครั้งอาจมีพิธีสงฆ์ทำบุญเพื่อความเป็นสิริมงคล และรำถวายรับขวัญแม่ย่านาง ครั้นได้ฤกษ์ฝีพายก็ชวยกันโห่สามครั้งยกเรือลงน้ำทันทีฝีพายก็จะนั่งประจำเรือและทดสอบพายดูว่าเอียงหรือท้ายลากหรือไม่ เป็นต้น โดยนายช่างขุดเรือจะตรวจสอบความบกพร่องของเรือที่ขุด ถ้าเรียบร้อยดีก็จะเริ่มการฝึกซ้อมฝีพายให้ทันที ถ้ามีส่วนใดบกพร่องก็จะต้องรื้อแก้ไขตกแต่งใหม่จนกว่าจะพายแล้วแล่นได้ดีในที่สุด
12.ประเภทของเรือยาวประเพณี
  สามารถจำแนกโดยอาศัยจำนวนฝีพายเป็นตัวกำหนดขนาดในการแบ่งประเภทของการแข่งขันได้เป็น 4 ประเภท คือ 1.เรือยาวใหญ่ ใช้ฝีพายตั้งแต่ 41-55 คน 2.เรือยาวกลาง ใช้ฝีพายตั้งแต่ 31-40 คน 3.เรือยาวเล็ก ใช้ฝีพายไม่เกิน 30 คน 4.เรือยาวจิ๋ว ใช้ฝีพายไม่เกิน 12 คน หมายเหตุ เรือยาวจิ๋ว จำแนกเป็น 3 ประเภทคือ เรือจิ๋วใหญ่ ฝีพาย 12 คน เรือจิ๋วกลาง ฝีพาย 10 คน เรือจิ๋วเล็ก ฝีพาย 7-8 คน
13.การบรรยายการแข่งขัน
  เรือยาวประเพณีเป็นกีฬาชาวบ้านในฤดูน้ำหลากเทศกาลบุญประเพณีออกพรรษา นอกจากจะสนุกสนานกับการประลองความแข็งแกร่งของฝีพายชิงเจ้าความเร็วแห่งสายน้ำสยามประเทศแล้วการบรรยายการแข่งขัน (พากย์เรือ) ยังเป็นอีกอรรถรสหนึ่งที่เพิ่มสีสันให้การแข่งขันเป็นได้ด้วยความดุเดือด เร้าใจเป็นยิ่งนัก หลักการบรรยายการแข่งขันเรือยาวประเพณี มีหลักการง่าย ๆ กล่าวคือ 1.ต้องรู้ดี ในที่นี้หมายถึง 3 รู้ คือ -รู้เรือ คือ ประวัติความเป็นมา และการแข่งขัน -รู้พาย คือ รู้ความสมบูรณ์แข็งแกร่งของฝีพายแต่ละทีมและแม่นในกติกา -รู้สายน้ำ คือ รู้ล่องน้ำในแต่ละสนามว่าล่องไหนได้เปรียบเสียเปรียบจุดไหนอย่างไร 2.มีโวหาร ในที่นี้หมายถึง -มีศิลปในการพูดดี -มีเสียงดังก้องกังวาล -มีลวดลายลีลาการพากย์ รวดเร็ว ดุเดือด เร้าใจ -เป็นผู้มีอารมณ์ คารม คำขำ ฟังแล้วเพลินหู 3.ปฏิภาณว่องไว มีไหวพริบปฏิภาณว่องไวสามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเชื่อมโยงเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสนามไปสู่จุด หรือประเด็นที่จะชี้นำสาระคุณค่ามวลประสบการณ์อันเป็นประโยชน์แก่ผู้ชม ผู้ฟังได้เป็นอย่างดี
14.วิวัฒนาการเรือยาวไทย

  เรือยาวมรดกวัฒนธรรมแห่งสายน้ำเป็นกีฬาชาวบ้านอันสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตอันดีงาม ความผูกพันระหว่างสายน้ำกับชีวิต เรือกับวิถีชีวิตบนพื้นฐานของความศรัทธาเสื่อมใสในคำสอนทางพระพุทธศาสนา อันนำมาซึ่งความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวของบวร ซึ่งแปลว่า ประเสริฐ อันได้แก่ บ้าน วัด โรงเรียน ซึ่งเป็นองค์กรพื้นฐานของชุมชนชนบทไทยซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของชาติ เรือยาวประเพณีไทยได้มีวิวัฒนาการจากวิถีชีวิตมาสู่ประเพณี และวิวัฒนาการไปสู่ระบบการแข่งขันนานาชาติในปี พ.ศ.2531 อันเป็นทรัพยากรด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่สำคัญจนเป็นที่นิยมแพร่หลายไปทั่ว กระทั่งพัฒนาไปสู่การกีฬาในการแข่งขันกีฬาแห่งชาติ และระดับประเทศสามารถจำแนกวิวัฒนาการได้เป็น 

1.ยุคอดีต แต่ละคุ้มบ้าน คุ้มวัด ในทุกลุ่มน้ำสยามประเทศนิยมหาไม้ตะเคียนนำมาขุดเป็นเรือยาวร่วมการแข่งขันอันแสดงออกถึงความพร้อมเพรียงแห่งหมู่คณะ เพื่อสร้างชื่อเสียงเกียรติคุณมาสู่คุ้มบ้าน คุ้มวัดของตนเอง ช่างขุดเรือที่มีชื่อเสียงของประเทศไทยที่ควรจารึกไว้ในความทรงจำตลอดไปว่าเป็นบรมครูแห่งภูมิปัญญาช่างไทยในการขุดเรือยาว อาทิตย์ 1.ช่างเสริม เชตวัน บ้านเกาะหงส์ จ.นครสวรรค์ 2.ช่างมา นคร บ้านเกาะหงส์ จ.นครสวรรค์ 3.ช่างเลิศ โพธิ์นามาศ บ้านหัวดง จ.พิจิตร 4.ช่างวัน มีทิม บ้านแหลมทราย อ.หลังสวน จ.ชุมพร
2.ยุคทำสาว เป็นคำฮิตในยุทธจักรเรือยาวทั่วประเทศ เนื่องจากรัฐมีนโยบายปิดป่าเพื่อคืนความสมดุลย์สู่ธรรมชาติ จึงเริ่มนำเรือเก่าเรือแก่มาซ่อมแซมปรับปรุง ตกแต่ง แก้ไขกันใหม่ เรียกว่าทำสาวใหม่ให้มีรูปร่างที่ทันสมัยขึ้น และประสบชัยชนะจนเป็นที่นิยมแพร่หลาย ซึ่งช่างทำสาวเรืออันเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่มีชื่อเสียงในปัจจุบัน ได้แก่ พระอธิการสมศักดิ์ สุวณโณ วัดสุวรรณราชหงส์ อ.โพธิ์ทอง จ.อ่างทอง, ช่างสงวน สูญนภา บ้านเฉลิมอาสน์ อ.โพธาราม จ.ราชบุรี หรือช่างเกียรติศักดิ์ อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี เป็นต้น ในด้านทีมเรือก็มีมิติใหม่เกิดขึ้น คือ หน่วยราชการที่มีกำลังพลที่ 4 เหล่าทัพส่งกำลังพลมาเล่นเรือเพื่อร่วมรักษาประเพณีชาวบ้าน รวมทั้งเป็นการปฏิบัติการจิตวิทยามวลชนประชาสัมพันธ์ชื่อเสียงของหน่วยงาน
3.ยุคเรือลาว นำมาทำสาวไทยภายหลังการแข่งขันเรือยาวเป็นที่นิยมแพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากอิทธิพลแห่งโลกยุคโลกาภิวัฒน์ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนเห็นความสำคัญของกีฬาชาวบ้าน มรดกวัฒนธรรมแห่งสายน้ำสยามประเทศ ก่อให้เกิดการถ่ายทอดสดในสนามต่าง ๆ จึงมีภาคเอกชน และหน่วยงานของรัฐตระหนักถึงความสำคัญส่งทีมเรือเข้าร่วมการชิงชัย และธำรงรักษาไว้ซึ่งศิลปวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามแห่งสายน้ำนี้ไว้ จึงมีการแสวงหาเรือโบราณจากประเทศเพื่อนบ้าน (ลาว) เข้ามาทำการตกแต่งแก้ไขทำสาวใหม่ด้วยฝีมือของชาวไทยเพราะราคาถูกกว่าเรือไทยเป็นยิ่งนัก
4.ก้าวสู่นานาชาติ และกีฬาแห่งชาติ ปัจจุบันเรือยาวประเพณีเป็นกีฬาทางน้ำบนพื้นฐานของวัฒนธรรมประเพณีที่ได้รับความนิยมแพร่หลายจนก้าวสู่การแข่งขันเรือนานาชาติเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว และฝีพายแห่งสยามประเทศก็ประสบความสำเร็จสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทยในการแข่งขันในน่านน้ำสากลทั่วโลก ประการสำคัญวงการเรือยาวประเพณีได้รับการยอมรับจากวงการกีฬาระดับชาติบรรจุเข้าชิงชัยเหรียญทองในการแข่งขันกีฬาแห่งชาติโดยการพัฒนารูปแบบให้เหมาะสมกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไปให้ได้มาตรฐานกีฬาสากลทั่วไป
5.ยุคฝีพายมืออาชีพ พาณิชย์แทรกแซง สังคมไทยยุคปัจจุบันเงิน หรือวัตถุดิบ เจริญรุดหน้ากว่าจิตใจตลอดจนภาระกิจในการยังชีพในเศรษฐกิจยุคปัจจุบันส่งผลกระทบก่อให้เกิดความสับสนต่อวิถีชีวิตอันดีงามเป็นยิ่งนัก แต่เดิมการแข่งขันเรือยาวประเพณีจากวิถีชีวิตอันดีงามเพื่อความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันตลอดจนเพื่อนำมาซึ่งชื่อเสียงเกียรติยศแห่งคุ้มบ้านคุ้มวัดก่อให้เกิดฝีพายมืออาชีพรับจ้างพายเรือด้วยค่าตัวที่สูงส่ง และด้วยอำนาจของเงินตรา บางครั้งทำให้หลงลืมคำว่าประเพณี และวิถีชีวิตอันดีงามของบรรพชนไปอย่างน่าเสียดาย หรือเกิดการแสวงหาผลประโยชน์ในทางที่ผิดจากการจัดการแข่งขันเป็นสิ่งที่พึงสังวรระวังเป็นยิ่งนัก หรือเกิดการเบี่ยงเบนจากคุณงามความดีอันเป็นภูมิรู้ภูมิธรรมของบรรพชนอย่างแท้จริง นำเสนอโดย… “(ขุนโจ้) พิษณุโลก” อาจารย์ขวัญทอง สอนศิริ เลขานุการชมรมเรือยาวจังหวัดพิษณุโลก กรรมการบริหารสมาคมเรือพายแห่งประเทศไทย โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ภาคเหนือ จังหวัดพิษณุโลก
เรียบเรียงใหม่โดย http://ที่นี่ประเพณีไทย.blogspot.com
อ้างอิงข้อมูลจาก rcat.or.th

ให้คะแนนกับบทความนี้:
{[['']]}

ประเพณีไทย กวนข้าวทิพย์

ประวัติความเป็นมา

ประเพณีกวนข้าวทิพย์ เป็นพิธีกรรมของศาสนา พราหมณ์ที่มีสอดแทรกเข้ามาปะปนในพิธีกรรมทางพุทธศาสนา เพื่อถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ และบูชาพระรัตนตรัยอุทิศส่วนกุศล ให้แก่ผู้ตาย

ประเพณีกวนข้าวทิพย์ เป็นพระราชพิธีที่กระทำกันในเดือน ๑๐ ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยและกรุงศรีอยุธยา เป็นราชธานี และได้รับการฟื้นฟูครั้งใหญ่ ในสมัยรัชกาลที่ ๑ และมาละเว้นเลิกรา ไปในสมัยรัชกาล ที่ ๒ และรัชกาลที่ ๓ แล้วมาได้รับการฟื้นฟู อีกครั้งหนึ่งในสมัยรัชกาลที่ ๔ เป็นต้นมา แต่ในปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่จะจัดกันในเดือน ๑๒ บางแห่งก็เดือนหนึ่ง ซึ่งคงจะถือเอาระยะที่ข้าวกล้า ในท้องนามีรวงขาวเป็นน้ำนม ของแต่ละปี และชาวบ้านก็มีความพร้อมเพรียงกัน


ในจังหวัดสิงห์บุรีบริเวณที่ยังคงรักษาประเพณีกวน ข้าวทิพย์ มีเหลืออยู่เพียง ๓ หมู่บ้าน คือหมู่บ้านพัฒนา โภคาภิวัฒน์ หมู่บ้านวัดกุฎีทอง หมู่บ้านในอำเภอพรหมบุรี ยังคงรูปเค้าโครง ของการรักษาประเพณีไทย และมีความเชื่อถือ อย่างมั่นคง เป็นแบบอย่างที่ดี ซึ่งแฝงด้วยจริยธรรมและคติธรรมอยู่มาก ที่สมควรนำมากล่าวถึงคือ ความพร้อมเพรียงของ ชาวบ้านทั้งที่ทำนา และไม่ได้ทำนาถึงเวลาก็มาร่วมจัดทำและ ช่วยเหลือโดยยึดถือ ความสามัคคีเป็นหลัก พิธีกรรม สิ่งของเครื่องปรุงข้าวทิพย์ ได้เลือก คงไว้ ๙ สิ่ง คือ ถั่ว , งา , นม , น้ำตาล , น้ำผึ้ง , น้ำอ้อย เนย และน้ำนมที่คั้นจากรวงข้าว

การจัดพิธีกรรม 

ยังคงรักษารูปเดิมไว้ โดยมีพราหมณ์ เข้าพิธี มีสาวพรหมจารีซึ่งจะพิถีพิถันคัดเลือกจากหญิงสาว ที่ยังไม่มีดอกไม้ (ระดู) ด้วยต้องการบริสุทธิ์สำหรับสาว พรหมจารีที่จะเข้าร่วมพิธี ต้องสมาทานศีล ๘ และต้องถือ ปฏิบัติตามองค์ศีลอย่างมั่นคง แม้ที่พักก็จัดให้อยู่ส่วนหนึ่ง จนกระทั่งถึงเวลาถวายข้าวทิพย์แก่ พระสงฆ์ ในตอนเช้าจึง จะหมดหน้าที่ ความเชื่อ ข้าวทิพย์เป็นอาหารที่รวมโอชารสต่าง ๆ ไว้พร้อม บริโภคแล้วจะได้รับประโยชน์ มีคุณค่าทางอาหารครบถ้วน ตามหลักโภชนาการสมกับเป็นข้าวทิพย์ รวมเอนกรส ยากที่จะทำขึ้นบริโภคได้ เมื่อผู้ใดได้บริโภคแล้วจะทำให้มีกำลังแข็งแรง มีคุณค่าอาหาร คงอยู่ในตัวได้นานพิจารณาแล้ว จะเป็นทางสนับสนุนข้าวทิพย์ของนางสุชาดา ที่นำไปถวายพระพุทธเจ้า ในวันตรัสรู้

เรียบเรียงใหม่โดย http://ที่นี่ประเพณีไทย.blogspot.com
อ้างอิงข้อมูลจาก kanchanapisek.or.th

ให้คะแนนกับบทความนี้:
{[['']]}

ประเพณีไทย ขึ้นเขาพนมรุ้ง

ตำนานเรื่องเล่า

ประเพณีไทย ปราสาทหินพนมรุ้ง เป็นศาสนสถานสำคัญบนยอดเขาของนครขอมโบราณนาม วนัมรุงปุระ ตั้งอยู่เชิงเขาพนมรุ้งวนัมรุงปุระ เป็นเมืองใหญ่และมีคามสำคัญมากเมืองหนึ่งบนเส้นทางปราสาทหินโบราณ จากปราสาทหินพิมายไปถึงเมืองพระนคร เมืองแห่งนี้ล่มสลายลงในยุคขอมสิ้นอำนาจและไม่เคยกลับคืนมาเป็นเมืองอีกเลย คงปล่อยให้ศาสนสถานอันสวยงามที่ยังสร้างไม่เสร็จแห่งนี้เปลี่ยวร้าง ปรักหักพังไปตามกาลเวลา

ปราสาทหินพนมรุ้ง น่าจะได้รับการจัดสร้างโดย นายช่างฝีมือเยี่ยมของขอม การรังวัดจัดสร้างต้องทำอย่างมีระเบียบแบบแผน โดยเฉพาะการจัดสร้างแนวประตูปราสาท ที่ต้องวางแนวขนานกับยอดเขา เล็งให้ศูนย์กลางประตูอยู่ในแนวเดียวกับพระอาทิตย์ขึ้นตรงกันตลอดแล้วทำเครื่องหมายไว้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ทุกวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 5 ของทุกปีเมื่อพระอาทิตย์ขึ้นขนานกับยอดเขา จึงสามารถมองเห็นพระอาทิตย์ได้เป็นแนวเดียวตลอดทั้ง 22 ประตู และเกิดขึ้นในลักษณะนี้ได้เพียงวันเดียวในรอบปี

ประเพณีขึ้นเขาพนมรุ้ง เป็นประเพณีที่จัดขึ้นใหม่ด้วยการผนวกเอาตำนาน การสร้างปราสาทหินพนมรุ้งรวมเข้ากับความเชื่อดั้งเดิมของประชาชนท้องถิ่นจัดเป็นงานเทศกาลวันเดียวที่มีเนื้อหาและมีจุดสำคัญของงานต่อเนื่องกันตลอดทั้งวัน นับตั้งแต่การรอชมพระอาทิตย์ขึ้น การทำบุญตักบาตร ขบวนแห่จำลองขบวนเดินทางของเจ้าเมือง การเฉลิมฉลองสมโภชปราสาท และการจัดเลี้ยงอาหารค่ำพร้อมชมการแสดงแสงเสียง ประกอบการแสดงในพื้นที่โบราณสถานอันยิ่งใหญ่ในช่วงกลางคืน 

วันเวลาจัดพิธีกรรม ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 ของทุกปี

รูปแบบประเพณี


เป็นงานประเพณีไทยวันเดียวที่มีจุดเด่นเป็นระยะ ๆ ตลอดทั้งวัน เริ่มตั้งแต่ช่วงเช้าพระอาทิตย์ขึ้น จะเป็นการเฝ้าชมพระอาทิตย์ขึ้นที่สามารถมองเห็นพระอาทิตย์ได้เป็นแนวเดียวกันตลอดทั้ง 22 ประตู ปัญหาสำคัญคือ ทุกปีจะมีผู้เฝ้าชมมากแต่ประตูปราสาทเล็กทำให้ชมได้ลำบาก หากไม่ต้องการเบียดชม ก็มีการทำบุญตักบาตรบนยอดเขาในอีกด้านหนึ่ง กระบวนการเดินทางของเจ้าเมืองวนัมรุงปุระนำขบวนนำขบวนข้าราชบริพารขึ้นมานมัสการองค์ปราสาท การนำชมตัวปราสาท และตกค่ำจะเป็นการจัดงานเลี้ยงอาหารค่ำพร้อมชมแสงเสียงประกอบการแสดงพื้นในที่ลานกว้างหน้าปราสาทท่ามกลางแสดงจันทร์และแสงดาว


จุดเด่นของพิธีกรรม

มีจุดเด่นของพิธีกรรมเป็นระยะ ๆ ตลอดช่วงเช้าและมีช่วงพักในเวลากลางคืน นับเป็นงานเทศกาลที่มีกิจกรรมที่น่าสนใจหลายกิจกรรมติดต่อกันอย่างน่าสนใจยิ่ง 

เรียบเรียงใหม่โดย http://ที่นี่ประเพณีไทย.blogspot.com
ข้อมูลอ้างอิงจาก ku.ac.th
ให้คะแนนกับบทความนี้:
{[['']]}

ประเพณีไทย วันขึ้นปีใหม่ของชาวล้านนา

ชาวล้านนาถือเอาเดือนเมษายน หรือเดือน 7 เหนือ เป็นเดือนเปลี่ยนศักราชใหม่ เรียกกันว่า ปี๋ใหม่

    ประเพณีวันขึ้นปีใหม่ของชาวล้านนา มีความแตกต่างจากสงกรานต์ของชาวไทยภาคกลาง ทั้งระยะเวลา กิจกรรม ความเชื่อ และความมุ่งหมาย ดังนั้น ปีใหม่เมืองของชาวล้านนา จึงมีวันและกิจกรรมต่างๆ ที่ปฏิบัติกัน มากกว่าสงกรานต์ของชาวไทยภาคกลาง ซึ่งประกอบด้วย วันสังขานต์ล่อง วันเน่า วันพญาวัน วันปากปี วันปากเดือน และวันปากยาม


   ปีใหม่เมืองของชาวล้านนาตรงกับเดือนเมษายน ซึ่งอยู่ในฤดูร้อนเป็นช่วงเวลาที่มีอากาศร้อนมาก และช่วงเวลาว่างจากการทำไร่และเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว จึงถือเอาวันปีใหม่เป็นวันทำบุญใหญ่วันหนึ่งในรอบปี เป็นวันที่สนุกสนานรื่นเริงด้วยการเล่นน้ำสงกรานต์ให้เย็นฉ่ำ ถือขันน้ำรดน้ำให้แก่กัน มีการละเล่นพื้นบ้าน เช่น มะกอน ม้าจ๊กคอก อีโจ้ง (โยนหลุม) จึงเป็นโอกาสที่เด็กๆหนุ่มสาว ผู้เฒ่าผู้แก่ได้พบเจอกันและทำกิจกรรมร่วมกันผ่านประเพณีต่างๆ เช่น สรงน้ำพระ ขนทรายเข้าวัด ดำหัว ทำบุญที่วัดในวันพญาวัน


ก่อนจะถึงวันปีใหม่ บรรยากาศในทุกหมู่บ้านคึกคักด้วยการจัดเตรียมช่อตุงปีใหม่ พ่ออุ้ยแม่อุ้ยนั่งตัดตุง หลากหลายสี


   มีตุงไส้หมู ตุงรูปคน ตุงสิบสองราศี ส่วนแม่เรือนพ่อเรือนปัดกวาดแผ้วถางบ้านให้สะอาดงดงาม เพื่อชำระล้างความสกปรกที่หมักหมมมาตลอดทั้งปี และต้อนรับสิ่งดีงามที่จะเกิดขึ้นในปีใหม่

   การคำนวณวันขึ้นปีใหม่ในแต่ละปี โหราจารย์หรือผู้รู้ด้านวัฒนธรรมล้านนาจะเป็นผู้คำนวณ และประกาศปีใหม่เมืองของปีนั้นๆ เรียกว่า ปักขะทืนล้านนา หรือหนังสือปีใหม่เมือง โดยถือเอาวันที่ราศีมีนย้ายเข้าสู่ราศีเมษ ซึ่งอาจจะไม่ตรงกันในแต่ละปี

   การคำนวณวันขึ้นปีใหม่ในแต่ละปี โหราจารย์หรือผู้รู้ด้านวัฒนธรรมล้านนาจะเป็นผู้คำนวณ และประกาศปีใหม่เมืองของปีนั้นๆ เรียกว่า ปักขะทืนล้านนา หรือหนังสือปีใหม่เมือง โดยถือเอาวันที่ราศีมีนย้ายเข้าสู่ราศีเมษ ซึ่งอาจจะไม่ตรงกันในแต่ละปี


   เมื่อตรวจสอบถูกต้องแล้วจึงประกาศให้ชาวเมืองรับรู้ และปฏิบัติตนตามประเพณี เช่น วันที่ ๑๔ เมษายน อาจเป็นวันสังขานต์ล่อง ๑๕ เมษายน อาจเป็นวันเน่า ๑๖ เมษายน อาจเป็นวันพญาวัน เป็นต้น ปัจจุบัน ชาวล้านนานิยมทำบุญ และทำกิจกรรมเทศกาลปีใหม่เมือง ตามวันหยุดราชการในปฏิทินสากล วันที่ ๑๓ เมษายน เป็นวันสังขานต์ล่อง ๑๔ เมษายน เป็นวันเน่า ๑๕ เมษายน เป็นวันพญาวัน

   ประเพณีปีใหม่ของชาวล้านนา มีคติความเชื่อเกี่ยวกับขุนสังขานต์หรือขุนสังกรานต์ ซึ่งแตกจากความเชื่อของชาวไทยภาคกลาง คือไม่ได้กล่าวถึงท้าวกบิลพรหมและธรรมบาลกุมารแต่อย่างใด แต่กล่าวถึงขุนสังขานต์ในลักษณะ บุคลาธิษฐาน หมายถึงพระอาทิตย์ เป็นตัวแทนของการเปลี่ยนศักราชในแต่ละปี และมีอิทธิพลต่อความเปลี่ยนแปลงของโลกมนุษย์ จากการคำนวณตามคัมภีร์สุริยยาตร์

เรียบเรียงใหม่โดย http://ที่นี่ประเพณีไทย.blogspot.com
อ้างอิงข้อมูลจาก library.cmu.ac.th

ให้คะแนนกับบทความนี้:
{[['']]}

ประเพณีไทย ทิ้งกระจาด


 งานทิ้งกระจาด เป็นพิธีกรรมของพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน มีแนวคิดคล้าย พิธีกงเต้ก เป็นการ เจริญเมตตาธรรมแก่ดวงวิญญาณที่ล่วงลับไปแล้ว โดยนำเอาสิ่งของเครื่องใช้ของผู้ตาย และของใช้อื่นๆ มาแจกจ่ายแก่ผู้ยากจน ตาม ตำนานพระสูตร กล่าวว่า "สมัยหนึ่งพระอานนท์กำลังบำเพ็ญสมาธิ ณ นิโครธาราม เมืองกบิลพัสดุ์ เกิดมีอสุรกาย ตนหนึ่ง สำแดงร่างเป็นเปรต รูปร่างผอมสูง มีแต่หนังหุ้มกระดูก ลำคอเล็กเท่ารูเข็ม เปรตนั้นได้กล่าวแก่พระ อานนท์ว่า อีก 3 วัน พระเถระจะถึงแก่มรณภาพ พระอานนท์จึงถามว่าจะแก้ไขอย่างไร เปรตตอบว่า ต้องทำ พิธีอุทิศเครื่องอุปโภคบริโภค เป็นไทยทานแก่ฝูงเปรตทั้งหลายจึงจะรอดพ้น และพระเถระก็จะมีอายุมั่นขวัญ ยืน พระอานนท์จึงกราบทูลพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ก็โปรดให้ประกอบพิธีเมตตาธรรมตามที่พระอานนท์ กราบทูล พิธีนี้จึงเกิดขึ้นและสืบเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ และเรียกกันว่า งานทิ้งกระจาด งานทิ้งกระจาดของสุพรรณบุรี สันนิษฐานว่าน่าจะมีอายุมากกว่าร้อยปีแล้ว แต่จะจัดติดต่อ กันมาตลอดหรือขาดหายไปในระยะใดบ้างนั้น ยังไม่ทราบแน่ชัด เท่าที่มีหลักฐานปรากฏว่า ในสมัยสงคราม โลกครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2483 - พ.ศ. 2487) งานทิ้งกระจาดมีสืบเนื่องมาทุกปีไม่เคยเว้น

ความสำคัญ
        งานประเพณีทิ้งกระจาดนี้ เป็นงานที่รวมกันของประชาชน ในวันที่จะทำบุญให้ทาน เป็นประเพณีที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนา เป็นการสร้างความเอื้ออาทรกันในหมู่สมาชิกของสังคมส่วนใหญ่ โดยถือว่าการทำบุญให้ทานนี้เป็นเครื่องลดความเห็นแก่ตัวลง

พิธีกรรม

        งานประเพณีทิ้งกระจาดนี้จะเริ่มหลัง วันสารทจีน 3 วัน วันเพ็ญเดือน 7 ตามปฏิทินจีน ประมาณปลายเดือนสิงหาคมหรือต้นเดือนกันยายน ตามปฏิทินไทย อัญเชิญเจ้าพ่อหลักเมืองมาตั้งเป็นประธานในพิธี ซึ่งจะสร้างเป็นโรงกงเต็ก ที่หน้าสมาคมตงฮั้วฮ่วยก้วง และศาลมูลนิธิท่งเอี้ยะเซี่ยงตึ้ง ถนนพันคำ ภายในโรงกงเต็กนี้มีการอัญเชิญเจ้าพ่อหลักเมืองมาสิงสถิตในโรงกงเต็กชั่วคราว ติดกับบริเวณโรงพิธีจะมีร้านปลูกไว้สูง 4-5 เมตร บนร้านมีกระจาดใส่สิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภคนานาชนิดที่ได้มาจากการบริจาคของชาวบ้านร้านตลาด ในวันที่สามของงานจะเป็นวันทิ้งกระจาด ทำเป็น ติ้ว ติดหมายเลขทิ้งลงมาจากร้านสูงนั้น ใครเก็บได้ก็นำไปแลกสิ่งของตามหมายเลขนั้น ๆ
        นอกจากนี้งานประเพณีทิ้งกระจาดยังมีรูปพญายมที่ชาวจีนเรียกว่า ไต้ซื้อ ทำด้วยกระดาษ โครงร่างสานด้วยไม้ไผ่ เขียนด้วยสีน้ำเงิน ขาว และแดง สูงในราว 4-5 เมตร ยืนชี้นิ้วหน้าตาถมึงทึงน่ากลัวมาก บนศีรษะไต้ซื้อมีรูปพระโพธิสัตว์กวนอิมอยู่องค์หนึ่ง คอยดูแลพวกภูติผีปีศาจแย่งชิงสิ่งของกัน หน้าโรงกงเต็กมีงิ้วแต้จิ๋วประชันกัน 2 โรง ในสมัยก่อนเล่นกันหามรุ่งหามค่ำ 24 ชั่วโมงเต็มไม่หยุด 3 วันสามคืน พอบ่ายวันที่สาม งิ้วทั้งสองจะวิ่งมาชิงธงกัน ใครเอาไปปักก่อนเป็นฝ่ายชนะ

ประวัติความเป็นมา

        ประเพณีทิ้งกระจาดของชาวจีน ว่าสืบเนื่องมาจากมีเศรษฐีครอบครัวหนึ่ง มีบุตรชาย ซึ่งต่อมาบวชเป็นพระและสำเร็จเป็นพระอรหันต์ มีนามว่า พระอรหันต์ "มู้เหลี่ยง" (หรือ หมกเลี้ยง)
        บิดาของท่านเป็นผู้ที่ชอบปฏิบัติธรรม มีใจเป็นกุศล ชอบทำบุญทำทาน และเชื่อในเรื่องบาปบุญคุณโทษ แต่ทว่ามารดาของท่านกลับตรงข้าม ไม่ชอบเรื่องเหล่านี้ และไม่เชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ
        ในเวลาต่อมา บิดาของท่านถึงแก่กรรมลง พระมู้เหลี่ยงก็จัดพิธีงานศพ ตลอดจนพิธีกงเต็กให้บิดา โดยท่านนิมนต์พระคณาจารย์จีน ซึ่งเป็นพระสงฆ์ที่ฉันแต่อาหารเจ ในขณะเดียวกัน เทพจี้กง จำพรรษาอยู่ในวัดที่พระมู้เหลี่ยงไปนิมนต์มาในพิธีงานศพของบิดา
        ครั้นก่อนถึงวันที่จะทำ พิธีกงเต็ก คืนนั้นเทพเจ้าจี้กงเตือนให้พระที่ได้รับกิจนิมนต์ว่า ในพิธีกงเต็กที่ได้รับนิมนต์จะพบกับ คนใจดำอำมหิตเป็นมาร จะมากลั่นแกล้งพระที่ได้รับนิมนต์ไปในงานนี้ ให้ระวังให้ดี
        พระที่ได้รับนิมนต์ไปเรียนถามว่า จะมีวิธีป้องกันอย่างไร เทพจี้กง แนะนำว่า สิ่งที่มองไม่เห็น อย่าได้ฉัน ให้ฉันแต่สิ่งที่มองเห็นก็พอ
        ครั้นถึงวันรุ่งขึ้น ซึ่งเป็นวันทำพิธีกงเต็ก มารดาของพระอรหันต์มู้เหลี่ยง ต้องการ แกล้งพระ และต้องการทดสอบ ปฏิปทาของพระไปในตัว เพราะตลอดเวลาตนก็ไม่มีใจศรัทธาอยู่แล้ว จึงสั่งให้คนครัวนำเอาสุนัขที่เลี้ยงไว้ไปฆ่า แล้วนำเนื้อสุนัขมาหมักรวมกับต้นหอม ผักชี และกระเทียม แล้วนำมาทำเป็นไส้ซาลาเปา
        พอถึงเวลาฉันเพล จึงให้คนนำ ซาลาเปาไส้เนื้อสุนัข ที่ทำไว้ออกมาถวายพระ เมื่อพระที่ได้รับนิมนต์เหล่านั้นเห็น ซาลาเปา ทุกรูปก็จำคำเตือนของเทพจี้กง จึงหยิบซาลาเปา แล้วซ่อนไว้โดยไม่ยอมฉัน พอได้เวลาพักผ่อน พระได้ชมบ้าน และสวนดอกไม้ทางหลังบ้านของเศรษฐี
        ในขณะที่ชมสวนอยู่นั้น พระท่านนำเอาซาลาเปาไส้เนื้อสุนัข ที่ซ่อนไว้ออกมาหักดู ก็เห็นไส้ซาลาเปามีเนื้อสัตว์ผสมอยู่ จึงโยนทิ้งลงในบริเวณสวนดอกไม้นั้น
        ทันใดก็เกิดอาเพศ ฝนฟ้าคะนอง และตกลงมาอย่างหนัก
        หลังจากที่พระทำพิธีกงเต็กเสร็จแล้ว มารดาของพระมู้เหลี่ยงจึงถามพระที่ทำพิธีว่า ต้องการฉันอาหารเนื้อสัตว์อะไร (หมู เห็ด เป็ด ไก่) ตนจะได้จัดถวายให้
        พระท่านบอกว่า โยม อาตมาฉันแต่อาหารเจ ไม่ได้ฉันเนื้อสัตว์ มารดาของพระมู้เหลี่ยงได้ยินดังนั้นก็หัวเราะเยาะเย้ยหยัน พร้อมกล่าวว่า ซาลาเปาที่ท่านฉันตอนเพลนั้น มันเป็นไส้เนื้อสุนัข ท่านฉันแล้วไม่รู้หรือว่ามีเนื้อสัตว์ผสมอยู่ ไม่เห็นท่านว่ากล่าวอะไรออกมาเลย
        เมื่อได้ฟังดังนั้นพระก็บอกว่า โยม อาตมาไม่ได้ฉันซาลาเปานั้นเลย ตามอาตมาไปที่สวนหลังบ้านดูสิ
        เมื่อมารดาของพระอรหันต์มู้เหลี่ยงไปถึง ก็เห็น ต้นหอม ต้นผักชี และ ต้นกระเทียม งอกขึ้นมาในสวน เป็นที่แปลกและอัศจรรย์ใจมาก จึงเกิดความรู้สึกว่าสิ่งที่ตนทำลงไปนั้นเป็น บาปอันมหันต์ และด้วยเหตุนี้เอง เมื่อถึง เทศกาลกินเจเดือนเก้า ชาวจีนนอกจากจะไม่รับประทานเนื้อสัตว์แล้ว ยังไม่รับประทานผัก ๓ ชนิดนี้ด้วย
        ต่อมามารดาของพระมู้เหลี่ยงถึงแก่กรรม ขณะเดียวกัน พระลูกชายก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ มีอยู่ครั้งหนึ่ง พระอรหันต์มู้เหลี่ยง ลงไปท่องเที่ยวยังเมืองนรก ได้พบกับวิญญาณของมารดา ซึ่งถูกล่ามโซ่ตรวนไว้ และกำลังจะถูกนำไปเกิดใหม่
        พระอรหันต์มู้เหลี่ยง ได้ถาม ท้าวเวสสุวรรณ ว่า จะนำวิญญาณดวงนี้ไปไหน ? ท้าวเวสสุวรรณ ตอบว่า จะนำไปเกิดเป็น สุนัข เพราะตอนมีชีวิตอยู่ทำบาปไว้มาก เคยสั่งให้คนฆ่าสุนัข แล้วนำมาทำเป็นอาหารเลี้ยงพระ
        พระอรหันต์มู้เหลี่ยงมีความกตัญญูต่อมารดามาก คิดที่จะช่วยมารดา จึงกล่าวขอท้าวเวสสุวรณไว้ ท้าวเวสสุวรรณก็ไม่ยอม เพราะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตาม กฎแห่งกรรม ในเรื่องบาปบุญคุณโทษ ทำให้เกิดการประลองฝีมือกันขึ้น ระหว่างพระอรหันต์มู้เหลี่ยงกับท้าวเวสสุวรรณ
        ความได้ทราบถึงพระพุทธเจ้า พระองค์เสด็จลงมายังเมืองนรก และตรัสห้ามพระอรหันต์มู้เหลี่ยงว่า อย่ากระทำเช่นนั้นเลย ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเป็นไปตาม กฎแห่งกรรม
        พระอรหันต์มู้เหลี่ยงตรัสพ้อว่า ตนบวชเป็นพระจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว แต่ไม่สามารถที่จะช่วยปลดปล่อยดวงวิญญาณของมารดาได้ รู้สึกบั่นทอนจิตใจเหลือเกิน
        พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า ท่านสามารถที่จะช่วยปลดปล่อยทุกดวงวิญญาณในขุมนรกนี้ทั้งหมดไหม ?
        พระอรหันต์มู้เหลี่ยงตอบว่า ได้ แล้วจึงได้กำหนด พิธีทิ้งกระจาด ขึ้น เพื่อที่จะช่วยดวงวิญญาณในขุมนรกนั้น โดยในพิธีนี้จัดให้มีการสวดพระคาถา และบริจาคสิ่งของต่างๆ ที่ต้องใช้ เช่น หับ เสื้อผ้า ภูเขาเงิน ภูเขาทอง เป็นต้น โดยกำหนดให้เริ่มพิธีตั้งแต่ วันที่ 1 เดือน 7 ถึงวันที่ 30เดือน 7 ของจีน (ชิกหง้วย) เป็นระยะเวลา 1 เดือน เพื่อให้ดวงวิญญาณที่อยู่ในนรกออกมารับกุศลผลบุญต่างๆ และเป็นอานิสงส์ส่งไปเกิดในภพต่อไป
        ชาวจีนจึงถือปฏิบัติเป็น ประเพณีงานทิ้งกระจาด ตามสถานปฏิบัติธรรม (โรงเจ) และมูลนิธิต่างๆ รวมทั้งในเมืองไทย เพราะถือเป็นการทำบุญที่ได้อานิสงส์สูงส่ง รวมทั้งเป็นการแสดงออกถึงความกตัญญูต่อบรรพชนอีกด้วย

ประเพณีนี้ยังเกี่ยวข้องกับ
ประเพณีไทยชิงเปรต
ประเพณีไทย การชิงเปรต


เรียบเรียงใหม่โดย http://ที่นี่ประเพณีไทย.blogspot.com
อ้างอิงข้อมูลจาก panyathai.or.th/wiki

ให้คะแนนกับบทความนี้:
{[['']]}